เมื่อพูดถึง “ภาวะเศรษฐกิจถดถอย” เรามักนึกถึงภาพตลาดหุ้นพังทลาย คนตกงานจำนวนมาก และแถวรออาหารยาวเหยียด เหมือนในวิกฤตปี 1929 ที่เรารู้จักกันในชื่อ The Great Depression
แต่จะเกิดอะไรขึ้นถ้าเรากำลังเผชิญภาวะแบบเดียวกันนี้อีกครั้ง — เพียงแค่เรา มองไม่เห็น เพราะใช้ "หน่วยวัด" ที่ผิด?
The Great Depression ปี 1929 – ภาวะวิกฤตที่ชัดเจน
ในปี 1929 ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ร่วงลงเกือบ 89% ภายในเวลาเพียง 3 ปี นำไปสู่ภาวะเศรษฐกิจตกต่ำครั้งใหญ่ของโลก มีคนตกงานจำนวนมาก ธนาคารล้มละลาย และสังคมสั่นสะเทือนในวงกว้าง
ในยุคนั้น ดอลลาร์สหรัฐยังคงผูกกับทองคำ หมายความว่ามูลค่าเงินยังคงสัมพันธ์กับสิ่งที่จับต้องได้ การล่มสลายของตลาดจึงสะท้อนความเสียหายจริงในมูลค่าทรัพย์สิน ไม่ใช่แค่ตัวเลขในบัญชี
ปี 2000–2011 – วิกฤตแบบเงียบ (เมื่อวัดด้วยทองคำ)
ย้อนกลับไปในช่วงปี 2000–2011 หลายคนจำได้ว่าเป็น "ทศวรรษที่ตลาดไม่ไปไหน" หลังวิกฤตดอทคอม ตลาดหุ้นดูเหมือนทรง ๆ แต่ถ้าวัด ด้วยทองคำ — ภาพที่ปรากฏกลับต่างไปอย่างสิ้นเชิง
ระหว่างปี 2000–2011 ดัชนี S&P 500 ลดลงเกือบ 89% เมื่อเทียบกับราคาทองคำ — ใกล้เคียงกับความรุนแรงของวิกฤตปี 1929
แต่ผู้คนไม่ตื่นตระหนก เพราะราคาหุ้นใน "หน่วยดอลลาร์" ไม่ได้ดูน่ากลัว แต่ในความเป็นจริง มูลค่าที่แท้จริงของสินทรัพย์ทางการเงิน ถูกกัดกร่อนอย่างเงียบ ๆ — เราแค่ไม่รู้ตัว
ทศวรรษแห่งมายา – เมื่อทุกอย่างดูดีในสายตาของดอลลาร์
ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา (ตั้งแต่ 2020) ดัชนี S&P 500 ลดลงกว่า 81% เมื่อวัดด้วยบิตคอยน์ ซึ่งหลายคนมองว่าเป็น "ทองคำดิจิทัล" ขณะเดียวกัน ราคาสินค้าอุปโภคบริโภคก็พุ่งสูงขึ้นอย่างมาก:
ค่าเช่าแพงขึ้นจนหลายคนอยู่ที่เดิมไม่ได้
อาหารและน้ำมันแพงขึ้นเกินเท่าตัว
เงินเดือนกลับไม่ได้เพิ่มในอัตราเดียวกัน
แม้ตัวเลขในพอร์ตการลงทุนของเราจะดู “สูงขึ้น” แต่ความสามารถในการใช้จ่ายในชีวิตจริงกลับ ลดลงอย่างต่อเนื่อง
สิ่งนี้เกิดขึ้นเพราะเรายังยึดติดกับการวัดมูลค่าทุกอย่างด้วย ดอลลาร์ ซึ่งเป็นสกุลเงินที่ถูกลดค่าอย่างช้า ๆ
ผลคือ เราหลงคิดว่าเราร่ำรวยขึ้น ทั้งที่แท้จริงแล้ว เราซื้อได้น้อยลงเรื่อย ๆ
บางที ความมั่งคั่งที่แท้จริง ไม่ได้วัดจากตัวเลขในพอร์ต แต่ควรวัดจากสิ่งที่คุณยังสามารถซื้อและดำรงชีวิตได้
ไม่ว่าจะในปี 1929, 2000 หรือช่วงหลัง 2020 — เราเห็นรูปแบบซ้ำเดิม:
เมื่อเงินไม่มีหลักยึด มนุษย์จะเข้าใจผิดว่า ราคาที่สูงขึ้นคือความเจริญ
แต่ความเป็นอยู่ของผู้คนกลับแย่ลง — และไม่มีกราฟไหนสะท้อนความจริงนั้นได้ชัดเท่ากับชีวิตประจำวัน
บางครั้ง “วิกฤต” ไม่ใช่สิ่งที่โหดร้ายที่สุด — สิ่งที่น่ากลัวกว่าคือ "วิกฤตที่เราไม่รู้ว่ามันเกิดขึ้นแล้ว"
source: